ความเชื่อ... หรือความจริง . ชายคนหนึ่งเชื่อมั่นว่า ตัวเขานั้น ได้ตายไปแล้ว ภรรยาของเขาบอกว่าเขายังไม่ตาย ลูก ๆ เขา และเพื่อน ๆ เขาทุกคนก็พยายามบอกเขาแบบเดียวกันว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่เชื่อ ในที่สุด ทุกคนก็จนปัญญาไม่รู้จะทำให้เขาเชื่อได้อย่างไร ทุกคนในครอบครัวก็เลยตกลงกันว่าจะพาเขาไปพบจิตแพทย์ . จิตแพทย์ตัดสินใจว่า วิธีการที่ดีที่สุดที่จะทำให้ชายคนนี้เชื่อว่าเขายังไม่ตาย คือการทำให้เขายอมรับข้อหนึ่งให้ได้ก่อนว่า “คนที่ตายแล้ว จะไม่มีเลือดไหล” เมื่อตกลงกันตามนั้น ทุกคนจึงหาตำราการแพทย์และแผนภูมิร่างกายมนุษย์ต่าง ๆ มาให้ชายคนนี้ได้ศึกษา ซึ่งตำราทุกเล่มต่างก็ยืนยันในสิ่งที่จิตแพทย์บอกว่า “คนที่ตายแล้ว จะไม่มีเลือดไหล”
เวลาผ่านไปหลายเดือน ชายคนดังกล่าวก็ยังเชื่อมั่นว่าเขานั้นได้ตายไปแล้ว จิตแพทย์ได้พาเขาไปสังเกตการณ์ในห้องผ่าศพ ให้ได้เห็นการผ่าศพจริงเวลาทำการชันสูตรว่า คนที่ตายเป็นศพไปแล้ว จะไม่มีเลือดไหลออกแล้วจริง ๆ จนในที่สุด ชายคนดังกล่าว ก็ยอมรับหันมากล่าวกับจิตแพทย์ของเขาและทุกคนว่า “โอเค พอแล้ว ผมเชื่อแล้วล่ะว่า คนตายแล้วจะไม่มีเลือดไหลจริง ๆ” . เมื่อได้ยินดังนั้น จิตแพทย์ก็ยิ้มออก ความพยายามของเขาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาสำเร็จแล้ว เขาภูมิใจที่ทำให้คนไข้ยอมรับความจริงได้แล้ว จิตแพทย์เลยคว้าเอามือของชายคนดังกล่าวมา แล้วเข็มเล็ก ๆ จิ้มไปที่นิ้วมือจนมีเลือดหยดออกมาเล็กน้อย . ชายหนุ่มเมื่อได้เห็นเลือดที่มือตัวเอง ก็หันกลับมาพูดกับทุกคนด้วยเสียงอันดังว่า “เป็นงัยล่ะ เห็นไหมว่าคนตายแล้ว ก็เลือดออกได้” -----------------------------------------------
“ข้อคิดที่ซ่อนอยู่” อ่าน “หนึ่งเรื่องเล่าล้านไอเดีย” วันนี้แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ? แอบมียิ้มมุมปากกันบ้างหรือเปล่า? . นอกจากรอยยิ้ม เรื่องนี้มี “ไอเดียสำคัญ” ที่ทรงคุณค่ามากซ่อนอยู่ด้วยนะครับ มีใครมองเห็นบ้างไหมเอ่ย? ผมขอนำเสนอไอเดียนั้นในแบบของผมนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน . ตรรกะและเหตุผลใช้ไม่ได้กับทุกคนเสมอไป มีงานวิจัยมากมายที่พิสูจน์แล้วว่า มนุษย์เราพร้อมที่จะเมินเฉยต่อข้อเท็จจริงตรงหน้า หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนั้นไปเลย หากข้อมูลตรงหน้ามันไม่ “สอดคล้อง” กับสิ่งที่เราเชื่อ . ดังนั้น หากเราพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดใครโดยหวังจะเอาชนะด้วยกับตรรกะเหตุผลและข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียวแล้วล่ะก็ อาจมีโอกาสสูงที่เราจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ คุณอาจจะพูดถูกทุกอย่างเลย เข้าใจทุกอย่างถูกต้อง แต่กับบางคน “ความถูกต้อง” ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะมนุษย์เรามักจะ “เชื่อ” ในสิ่งที่ตัวเอง “ต้องการจะเชื่อ” อยู่แล้ว
คุณอาจเห็นเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ แต่มนุษย์เราส่วนใหญ่เมื่อเผชิญหน้ากับ “หลักฐานที่ไม่อาจโต้แย้งได้” แทนที่จะเลือก “เชื่อ” ตามหลักฐานที่ประจักษ์ กลับมักเลือกที่จะพยายาม “ยึดติด” กับความเชื่อผิด ๆ เดิม ๆ ของตัวเองยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ . ความจริงข้อนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ในงานวิจัยตัวหนึ่งเมื่อปี 2006 ให้กลุ่มเป้าหมายอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์สองฉบับในประเด็นต่าง ๆ หนังสือพิมพ์ฉบับแรกจะนำเสนอเรื่องราวที่สอดคล้องกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายเชื่อ แต่เต็มไปด้วยข้อเท็จจริงที่เสริมเติมแต่งและเป็นไม่ถูกต้อง ในขณะที่หนังสือพิมพ์ฉบับที่สองจะรายงานข่าวในเหตุการณ์เดียวกันแต่แก้ไขข้อมูลที่เสริมเติมแต่งในฉบับแรกให้ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้คือ แทนที่กลุ่มเป้าหมายจะเชื่อเนื้อหาในหนังสือพิมพ์ฉบับที่สองที่ให้ข้อมูลได้ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่คนส่วนใหญ่กลับจะเชื่อหนังสือพิมพ์เล่มแรกมากกว่า แถมบางคนยังคิดถึงขนาดว่า “ข้อมูลที่ถูกต้อง” นั้นที่แท้จริงคือ “สิ่งที่เสริมเติมแต่ง” เขาไปด้วยซ้ำ เพียงเพราะมันไม่สนับสนุนสิ่งที่พวกเขาเชื่อ . เมื่อศึกษาเรื่องนี้ให้ลึกลงไปอีกในระดับเซลล์สมอง พบว่าการสแกนสมองยืนยันในทฤษฎีนี้ได้เป็นอย่างดี การสแกนสมองด้วยเครื่อง MRI พบว่า เมื่อกลุ่มตัวอย่างได้รับข้อมูลใด ๆ ที่ “ตรงกับสิ่งที่พวกเขาเชื่ออยู่แล้ว” พื้นที่สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้จะ “สว่างวาบ” ทำงานขึ้นทันที แต่ในทางตรงข้าม เมื่อกลุ่มตัวอย่างเดียวกันได้รับข้อมูลที่ “ขัดแย้งกับความเชื่อเดิม” ของตนเอง เซลล์สมอง “ส่วนยับยั้งการรับรู้” จะทำงานแทน และนี่คือธรรมชาติของมนุษย์ . เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว คงพอจะมองออกว่า การพยายามจะ “เปลี่ยนความคิดคนอื่น” ที่ยึดมั่นถือมั่นไปแล้วนั้น... มันยากเย็นเพียงใด และนี่คือคำตอบว่าทำไม การจะจูงใจใครสักคนให้เป็นอย่างที่คุณคิด คุณควรจะมุ่งไปที่การกระตุ้นสมองส่วนของ “อารมณ์” มากกว่า “เหตุผล” เพราะคนเรามักตัดสินใจด้วย “อารมณ์” เสมอ แล้วค่อยหา “เหตุผล” มารองรับในภายหลัง . แล้วเราจะมีโอกาสเปลี่ยนความคิดใครได้บ้างไหม? ก็อาจเป็นได้ หากมีเงื่อนไขต่อไปนี้ 1. คนจะพร้อมฟังคุณ (แม้อาจจะไม่ได้ยอมรับ 100 เปอร์เซ็นต์) เมื่อข้อมูลที่คุณให้มัน “เกี่ยวข้อง” และกระทบกับชีวิตและตัวเขาโดยตรง หากสิ่งที่คุณพูด แม้มันจะถูกต้อง แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตเขา คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกที่จะเชื่อตามความคิดเดิม ๆ . 2. เรามักจะพร้อมเปิดใจ “ชั่งน้ำหนัก” ความคิดที่แตกต่างกันว่าควรจะเชื่ออันไหน (หรือแม้กระทั่งยอมเปลี่ยนความคิดตัวเองไปเลย) เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กับคนที่พวกเขาไว้ใจ มีงานวิจัยหนึ่งพบว่า เวลาที่เราทำงานกับเป็นกลุ่มเล็ก ๆ นั้น เรามักจะ “เปลี่ยนความคิด” กับบ่อยมากกว่าเวลาที่เราคิดเรื่องเดียวกันคนเดียวถึง 75 เปอร์เซ็นต์ . 3. จง “เปิดโอกาสให้เขาคิด” ไม่ใช่ไป “จี้เอาผิด” เขา เมื่อคุณขอให้ใครสักคนลองอธิบายว่าความคิดของเขามันใช้งานได้จริงแค่ไหนในโลกความเป็นจริง คน ๆ นั้นมักจะตระหนักได้เองว่า เอาเข้าจริง ๆ เขาอาจจะไม่ได้ “รู้จริง” ในเรื่องนั้น ๆ มากพอ และจะพร้อมเปิดใจรับไอเดียที่แตกต่างได้ด้วยตัวเอง แต่ในทางตรงข้าม เมื่อถูกถาม “จี้จุด” ให้ตอบให้ได้ว่าทำไมจึงมีความเชื่อแบบนั้นแบบนี้ เรามักจะ “ดื้อแพ่ง” และพยายามเถียงหัวชนฝาหรือแม้แต่ยอม “กระต่ายขาเดียว” เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เราเชื่อมันถูกต้อง... แม้มันจะผิดก็ตาม . มารุต เมฆลอย นักธุรกิจภาษาและนักพัฒนาชีวิต #หนึ่งเรื่องเล่าล้านไอเดีย -----------------------------------------------
“หนึ่งเรื่องเล่าล้านไอเดีย” คือโปรเจคใหม่ของเพจ Ideas Above the Clouds คิดเหนือเมฆ กับ มารุต เมฆลอย ที่ผมจะคัดสรรเรื่องเล่าสนุก ๆ ที่แฝง “ข้อคิดดี ๆ” เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตและพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้านมาฝากทุก ๆ ท่านอย่างสม่ำเสมอ . ไม่ทราบว่าได้อ่านแล้ว คิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ? ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร หากจะช่วยคอมเม้นต์ให้ทราบบ้าง ก็จะขอบคุณมากครับ หรือใครอยากให้นำเสนอข้อคิดด้านการพัฒนาตัวเองในเรื่องใดบ้าง ก็ลองเสนอมาได้เลยครับ . "Ideas Above the Clouds คิดเหนือเมฆ กับ มารุต เมฆลอย” คือ Facebook เพจที่นำเสนอแนวคิดและวิธีการพัฒนาชีวิตและพัฒนาตนเองในทุกด้าน หากคุณสนใจรับข้อมูลในเรื่องเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ เชิญ
กด Like และเลือก “See First” นะครับ จะได้ไม่พลาดทุกครั้งที่เราโพสต์ข้อมูลดี ๆ ครับ . #หากมีประโยชน์ได้โปรดแชร์
Comentarios